19 พฤษภาคม 2554

คนรักหมา...หมารักคน

คนรักหมา...หมารักคน
  Love Me Love My Dog

         หลวงพ่อท่านพูดบ่อยๆ ว่าหลวงปู่ชาไม่พาเลี้ยงหมา เลี้ยงแมว เลี้ยงไก่ เพราะมันรบกวนหลายๆ อย่าง  และห้ามจัดอาหารไว้เลี้ยงมันด้วย (จะเทเศษอาหารในป่าแล้วให้หมามันไปหากินเอง) มันจะได้ไม่พัวพันกับคน  ดังนั้น นโยบายของหลวงพ่อคือไม่เลี้ยงสัตว์ภายในวัด ให้มันเข้ามาหากินได้ตามสัญชาตญาณของมันเอง ทำเหมือนกับว่าต่างคนต่างอยู่ ไม่สนใจกัน  หรือถ้ามันจะมากับโยมก็มาได้ แล้วก็ต้องกลับไปพร้อมโยม ห้ามเข้ามาในศาลา และที่สำคัญอย่าหยอกล้อมัน อย่าแสดงท่าทีเล่นเป็นเพื่อนกับมัน หรือแม้แต่มองตามันก็ไม่ได้ คนส่วนคน หมาส่วนหมา  แต่สมัยนี้หลายวัดก็นิยมเลี้ยงหมา เลี้ยงแมว เลี้ยงไก่ พระอยู่วัดไม่มีเพื่อนก็เอาหมาเอาแมวเป็นเพื่อน กินอารมณ์กรรมฐานไม่เป็น ก็เลยเอาหมามาเลี้ยง แล้วก็กินหมาเป็นอารมณ์ ท่านใช้คำว่า พระกินหมา  พอโยมไปกราบพระ ก็ไม่รู้ว่ากราบถูกพระหรือกราบถูกหมากันแน่ มันดูงามไหมล่ะ
         เรื่องของเรื่องคือมีวันหนึ่งในช่วงต้นฤดูพรรษา...มีโยมคนหนึ่งมาถวายอาหารที่วัดเกือบทุกวัน (ปกติจะใส่บาตรหน้าบ้านเป็นประจำ ไม่ค่อยได้มาวัด) เขาก็นำหมามาด้วย ไอ้เจ้าหมามันก็คงคุ้นเคยกับการใกล้ชิดเจ้านาย มันก็เลยเข้ามานอนในบริเวณศาลา(กุฏิหลวงพ่อ)ที่เขากำลังจัดอาหารรอถวายพระอยู่ วันนั้นหลวงพ่อไม่อยู่ เราก็เลยบอกโยมคนนั้นว่าให้ไล่มันออกไป หลวงพ่อไม่ให้หมาเข้ามาในศาลา  เขาก็พูดกับหมาว่า ออกไปข้างนอก..ไป สักสองสามครั้ง หมามันก็เฉย แล้วเขาก็หันมาบอกเราว่าไล่มันแล้วมันไม่ไป เราก็เลยบอกว่าหมามันฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรอก ก็ต้องไล่มันด้วยวิธีอื่นซิ เช่น ตีมันเบาๆ ให้มันรู้ว่าไม่ควรทำอย่างนี้  เขาก็ตอบว่า สงสารมัน ไม่อยากตีมัน ให้มันนอนอยู่นี่แหละ เราก็เลยบอกว่า แล้วไม่สงสารพระเหรอ ที่ต้องกวาดถูศาลาที่หมามันเข้ามาทำสกปรก เขาก็เลยอึ้งไปพักหนึ่ง  โยมคนอื่นก็เลยร้องไล่หมาและทำท่ายกมือยกไม้เหมือนจะตีมัน มันก็เลยออกไป
         หลังจากวันนั้น โยมคนนี้ก็ไม่มาถวายอาหารที่วัดอีก (ยกเว้นเป็นวันที่มีกิจกรรมพิเศษ) แต่เขาก็ยังใส่บาตรหน้าบ้านเป็นปกติ  นี่คือ รักหมามาก จนยอมลดระดับการทำกุศลให้ต่ำลง  การใส่บาตรหน้าบ้านมันมีคุณค่าไม่เท่ากับการมาวัดหรอก เพราะมาวัดนอกจากได้เสียสละอาหารแล้ว ก็ได้เสียสละเวลา(ที่ปกติเห็นแก่ตัว) และยังจะได้ฟังเทศน์ฟังธรรม อานิสงส์มันต่างกันมากเหลือประมาณ  แต่เขาก็ เลือกให้ความสำคัญกับหมา มากกว่าการมาวัด ขยายความออกไป หลายคนก็คงเป็นอย่างนี้ เพียงแต่เป็นเรื่องอื่นๆ ไม่ใช่เรื่องหมา
         นี่จะชวนให้คิดว่า คนเรา..บางที ความรัก ความสงสาร มันก็บดบังเหตุผล บดบังสติปัญญา นี่ขนาดแค่หมา แล้วถ้าเป็นลูกหรือคนที่เรารักมากๆ มันจะสักแค่ไหน ก็อาจจะตามใจกันจนเสียคน หรือหาอะไรๆ มาปรนเปรอกันจนยิ่งลุ่มหลงกันไปมากมาย
         หมามันก็เป็นหมา มันก็ดำเนินชีวิตไปด้วยความหลงตามวิสัยของสัตว์เดรัจฉาน มีหลายคนก็คิดว่าหมามันดีมันรู้จักกตัญญู ถ้ามองมุมเดียวก็ใช่  แต่ลองมองให้มันกว้างๆ ออกไปแล้วจะเห็นรายละเอียดอื่นอีกมากมาย  หมามันกตัญญูเพราะเจ้าของเลี้ยงมัน มันก็รักแต่เจ้าของมัน ความรักนั่นแหละคือความหลง มันพร้อมจะทำร้ายคนอื่นเพื่อปกป้องเจ้าของมัน เจ้านายมันสั่งให้ทำอะไรมันก็จะทำตามแบบไม่มีสติปัญญา  มันแยกแยะไม่ออกว่าสิ่งไหนคือคุณธรรม สิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำ  มันได้แต่ทำตามนิสัยหรือตามสัญชาตญาณแห่งความเป็นสัตว์ชนิดที่เรียกว่าหมา หมาแทบทุกตัวก็มีนิสัยเป็นแบบนี้ เพราะ มันได้เกิดมาเป็นหมา มันจึงได้รับคุณลักษณะอย่างนี้
         ลองเปรียบเทียบเข้ามาเรื่องของคนบ้าง คนหลายคนยอมทำชั่วหรือทำร้ายผู้อื่นเพื่อปกป้องคนที่ตนเองรัก หรือแสวงหาสิ่งต่างๆ มาให้คนที่ตนเองรัก ด้วยการกระทำอันทุจริต  แม้จะบอกว่าทำเพื่อบุคคลที่มีบุญคุณมหาศาลอย่างเช่น พ่อแม่ จนได้ชื่อว่าเป็นลูกกตัญญูก็ตามที  หรือพ่อแม่แสวงหามาให้ลูกของตนเอง  มองแบบลึกซึ้งแล้วมันเป็น ความติดข้อง เห็นแก่พรรคพวกของตัว เห็นแก่ตัว ไม่สนใจว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร  คนปุถุชนทั่วไปหรือสัตว์มันก็มีเหมือนๆ กันในสัญชาตญาณอันนี้  หมาก็หลงอย่างหมา คนก็หลงอย่างคน  มันจึงเป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบจักสิ้น  เพราะฉะนั้น ความกตัญญู นี่เราจะมองเพียงแง่เดียวไม่ได้
         ถ้าพูดในแง่ศีลธรรมทั่วไป ความกตัญญู เป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญและเป็นคุณธรรมอันดี แต่ ต้องประกอบด้วยความสุจริต เสมอ  ถ้ามนุษย์มีความกตัญญูแบบสุจริต ชาวโลกก็จะอยู่กันได้สงบสุขมากขึ้น (แต่อย่าลืมว่า สรรเสริญ มันก็ยังเป็นโลกธรรมครอบงำสัตว์โลก)  อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วมันก็เป็นลักษณะของ ความติดข้อง เพราะเรายังไม่เข้าใจธรรมชาติเรื่องของ กายและจิต หรือ ชีวิต อย่างเพียงพอ เราจึงทำไปด้วยความติดข้อง ลุ่มหลง  ซึ่งชาวพุทธทั้งหลายก็คงทราบดีว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สรรเสริญความติดข้อง ความหลง ความโลภ ความโกรธ  พระองค์ตรัสรู้แล้วก็ชี้ให้เราเห็น และบอกวิธีที่จะไปในทางที่ เหนือโลกธรรม  เพราะตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิด มันก็ยังไม่จบเรื่อง มันก็วุ่นวาย ขัดข้อง เบียดเบียดผู้อื่นเพื่อให้ตนเองและพวกของตนอยู่รอด  หรือถ้าเราไม่ทำร้ายเขา เขาก็จะมาทำร้ายเรา  โลกมันก็เป็นอยู่อย่างนี้แหละ จะเกิดอีกกี่ครั้งมันก็เป็นอยู่อย่างนี้  ใครไม่เบื่อ..ก็หลงใหลอยู่กับโลกต่อไป  แล้วก็อย่ามาบ่น อย่ามาร้องโอดครวญ ว่า ฉันทุกข์..กูทุกข์.. เพราะมัน สาสมแล้ว ที่เกิดมา หรือพูดแบบสมัยนี้ก็ว่ามันเป็น แพ็คเกจ ที่ได้มาพร้อมกับการเกิด ไม่อยากได้ก็ต้องได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น