17 พฤษภาคม 2554

พูดได้..แต่เป็นได้หรือเปล่า

พูดได้..แต่เป็นได้หรือเปล่า... ?
I Will Show You

         มีอยู่วันหนึ่ง หลังจากฉันจังหันเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็กวาดตาดอยู่ที่ลานธรรม  มีชายแก่คนหนึ่งเดินมาหา แล้วก็ได้สนทนากัน  เขาบอกว่าตัวเขาสนใจและศึกษาธรรมะมาพอสมควร แล้วเขาก็แนะนำข้าพเจ้าว่า ให้พยายามศึกษาต่อไปเดี๋ยวก็จะรู้จะเข้าใจ  เขาเล่าว่า..ครั้งหนึ่งเขาสนทนากับอาจารย์ของเขา อาจารย์ของเขาถามว่า..ทางสายกลางคืออย่างไร  เขาก็แสดงท่าทางให้ดูว่าตอนนั้นเขาตอบอาจารย์ว่าอย่างไร  โดยเขายืนตรงๆ แล้วก้าวขาซ้ายไปทางด้านซ้ายหนึ่งก้าว และก้าวขาขวาตามไปชิดกัน แล้วยืนนิ่งอยู่  จากนั้นก็ขยับก้าวกลับมายืนที่จุดเดิม  สักครู่หนึ่ง...ก็เริ่มใหม่อีกครั้ง  โดยก้าวขาขวาไปทางด้านขวาหนึ่งก้าว และก้าวขาซ้ายตามไปชิดกัน แล้วยืนนิ่งอยู่  จากนั้นก็ขยับก้าวกลับมายืนที่จุดเดิมอีก  แล้วเขาก็พูดว่า นี่แหละคือทางสายกลาง  อาจารย์ของเขาก็ไม่พูดอะไร  เขาก็ว่าอาจารย์พอใจกับคำตอบของเขา      
         จากนั้นเขาอธิบายให้ฟังต่อไปว่า  ร่างกายของเรานี้เป็นแค่ธาตุสี่ เป็นแค่รูปขันธ์ ไม่มีอะไรเป็นตัวเรา เป็นของเราหรอก อย่าไปยึดไปถือมันเลย  ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่..สายตาของข้าพเจ้าก็ไปสะดุดเข้ากับพระเครื่องที่เขาห้อยไว้ที่คอ (ขนาดใหญ่เท่ากับนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง เรียงติดกัน)  ความคิดจึงเกิดขึ้นมาว่า อ้าว..ถ้าร่างกายเป็นสักแต่ว่ารูปขันธ์ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา แล้วยังจะไปกลัวอะไรอีก?  ทำไมต้องดินก้อนใหญ่ขนาดนั้นมาคล้องคอให้มันหนัก  หลังจากที่เขากลับไป ข้าพเจ้าก็คิดคำอุทานเป็นโคลงขึ้นได้ว่า...
                   คุยเรื่องธรรม  ที่จำมา  นั้นค่าน้อย
                   ดีแต่คอย  ฟุ้งอวดไป  ไม่รับเข้า
                   พูดลึกซึ้ง  คิดเข้าใจ  ทุกเรื่องราว
                   แต่ยังเอา  พระแขวนคอ  ก็ฟ้องตัว

         ต่อมาถัดจากนั้นไม่นาน มีวันหนึ่งหลวงพ่อก็ได้เล่าให้ฟังว่า ได้มีโอกาสนั่งรถไปกับชายแก่คนนั้น (เขามาอาสาขับรถพาไปทำธุระเป็นครั้งคราว) ท่านบอกเห็นท้ายรถเขามีขวานด้ามใหญ่ๆ  หลวงพ่อก็เลยถามไปว่าเอาไว้ทำอะไร  เขาตอบว่าเอาไว้ ป้องกันตัว ในเวลาขับรถไปไหนมาไหน อีกอย่างเขาก็เคยมีเรื่องกับคนอื่นมาก่อน จึงได้ย้ายหนีมาอยู่แถวนี้
          รสชาติของธรรมะแท้จริงนั้นไม่ใช่ของง่าย ถ้ารู้ธรรมะแล้วมันก็ต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เคยโง่ๆ ด้วย  นั่นจึงจะเรียกว่ารู้ธรรมเห็นธรรมเป็นธรรมจริงๆ  มันไม่ใช่แค่เรียนจำมาท่องมาแล้วอธิบายได้คล่อง  เปรียบเหมือนคนรู้ทฤษฎีเรื่องการว่ายน้ำ จะว่ายท่านั้น ท่านี้ ต้องยกแขนอย่างนั้น ตีขาอย่างนี้ แต่พอตัวเองตกน้ำจริงๆ แล้วก็ว่ายไม่เป็น
         คำอุทานอีกบทหนึ่งที่ได้แต่งขึ้นหลังจากนั้น ก็คือ...
                   มาวัดเพื่อ  ขายธรรมะ  ให้พระซื้อ
                   คิดว่าคือ  รู้ธรรมแท้  เผื่อแผ่เขา
                   หารู้ไม่  แค่ธรรมะ  ใบลานเปล่า
                   ถึงเอาไป  ขายนอกวัด  ยังขาดทุน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น