29 มีนาคม 2554

ลมออก...ก็เรียน

ลมออก...ก็เรียน
Candle in the Wind

         วันหนึ่ง.. ข้าพเจ้าสะพายบาตรของตนเองและของพระอาจารย์ แล้วเดินตามหลังท่านไปเหมือนอย่างเช่นทุกเช้า ขณะที่เรากำลังเดินกำหนดสติสัมปชัญญะให้รู้อยู่ที่อิริยาบถการเคลื่อนไหวของกายไปเรื่อยๆ  โดยเว้นระยะห่างจากพระอาจารย์ประมาณ ๓-๔ ก้าว  พระอาจารย์หยุดเดินโดยกะทันหันแล้วก็ ผายลม ออกมา มีเสียงดังพอได้ยิน แล้วท่านก็เดินต่อไป
         ความคิดของข้าพเจ้าเกิดขึ้นมาทันทีว่า... แล้วทำไม ? เรารู้สึกเฉยๆ ไม่รู้สึกขุ่นข้อง ขัดเคือง หรือคิดไปในทางไม่ชอบใจ กับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งๆ ที่มันก็เป็นเสียงผายลมแบบตรงๆ ซึ่งๆ หน้า  แล้วถ้าหากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่พระอาจารย์มาผายลมต่อหน้าเรา เราจะรู้สึกอย่างไร ?
        ทันทีก็มีคำตอบผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นกันว่า  ถ้ามองอย่างคนทั่วไป... เมื่อเราเคารพเลื่อมใสในตัวบุคคลใด แม้บุคคลนั้นจะกระทำในสิ่งที่คนอื่นๆ เรียกว่าไม่ดี ไม่เหมาะ ไม่ควร เราก็จะไม่รู้สึกโกรธหรือไม่ชอบใจ  เพราะเรามีอคติอยู่แต่เดิมแล้ว  กรณีกับบุคคลอื่นหรือสิ่งอื่น ที่เรารัก หรือเคารพ หรือให้ค่าในด้านบวกเอาไว้ก่อนแล้ว ผลมันก็จะออกมาเป็นอย่างนี้เสมอ  แต่ถ้าในทางตรงกันข้าม หากบุคคลนั้นเป็นคนที่เราไม่ชอบ หรือตั้งค่าในด้านลบเอาไว้ก่อนแล้ว  เราก็จะต้องรู้สึกไม่พอใจเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้  ทั้งๆ ที่มันเปลี่ยนแค่ตัวบุคคลผู้กระทำเท่านั้นเอง
         ทีนี้ถ้ามองในด้านธรรมะ...มันก็เป็นเหตุการณ์ปกติ  ทุกคนเคยผายลม และจะยังคงมีโอกาสได้ผายลมอีกนับไม่ถ้วน (จนกว่าจะตาย) เพราะมันเป็นอาการของร่างกายที่ธรรมชาติให้มา  แน่นอนว่าลมที่ผ่านมาจากลำไส้ของเรามันย่อมมีกลิ่นเหม็น (มากหรือน้อยก็แล้วแต่จังหวะนั้น) แต่มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อลำไส้เรามันหมักหมมของเน่าเหม็นเอาไว้  ซึ่งทุกคนก็รู้เรื่องนี้ดี  ถ้าเรายอมรับว่ามันเป็น เหตุการณ์ปกติของธรรมชาติ มันก็จะไม่มีความรู้สึกขึ้น-ลงอะไร ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบออกมา มันเฉย เพราะ รู้เรื่อง ของมันแล้ว (มันต่างกันกับคนซื่อบื้อ ที่มัวแต่เผลอไปหลงอยู่กับอย่างอื่นมากซะจน ไม่รู้เรื่อง ว่ามีการผายลมเกิดขึ้น)
         โดยปกติเราก็มักจะหลงไปกับการ เลือกที่รัก ผลักที่ชัง เสมอ เพราะมี เรา จึงมีรัก และมี เรา จึงมีผลัก มันก็กลายเป็น เรารัก เราผลัก  ถ้ามัน ไม่มีเรา ซะอย่างเดียว  รัก หรือ ผลัก ก็ไม่มีใครไปยึดเอา มันก็ล่องลอยอยู่อย่างนั้นของมัน มันไม่มีตัวตน มันเป็นแค่นามธรรม มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ เมื่อไม่มีเวทีให้มันแสดงคอนเสิร์ต ไม่มีทีวีให้มันออกอากาศ มันก็เลยไม่ดัง มันก็อยู่ตามวิถีชีวิตปกติของมัน  มันก็เหมือนกับชาวบ้านทั่วไปที่ไม่ได้เป็นซูเปอร์สตาร์
         พระอาจารย์จะตั้งใจสอนหรือเปล่า ศิษย์โง่คนนี้ไม่อาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ศิษย์โง่ ได้บทเรียนอีกแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น